วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

มะเกี๋ยง....ผลไม้วิเศษ

 คืออะไร
มะเกี๋ยง เป็นผลไม้พื้นเมืองขึ้นตามภาคเหนือของประเทศ ที่มีแห่งเดียวในประเทศไทย ผลผลิตเป็นสินค้าแปรรูปได้หลายชนิดมีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน มีกลิ่นหอมและสีตามธรรมชาติ น้ำมะเกี่ยงดื่มได้ทั้งคุณประโยชน์ อุดมด้วยวิตามินซีป้องกันโรคหวัดโรคภูมิแพ้ และมีคุณค่าทางโภชนาการ ประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล วิตามี1 วิตามินบีเหล็กแคลเซียมและวิตามินบีสูงฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) จัดเป็นสารประกอบฟินอลิก
 คุณค่าโภชนาการของมะเกี๋ยง
 ผลมะเกี๋ยงจึงมีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย  ประกอบไปด้วยวิตามินเอ,วิตามินบี1,วิตามินบี2,วิตามินอี,วิตามินซี,แคลเซียม,แมกนีเซียม  โดยมีปริมาณแคลเซียมมากที่สุด  ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง  ควบคุมการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อทั้งการเต้นของหัวใจ  วิตามินเอ  จะช่วยในการพัฒนาอวัยวะต่างๆ ของร่างกายรักษาสภาพของเยื่อบุผิวที่อวัยวะต่างๆ  วิตามินบีช่วยบำรุงประสาทและป้องกันโรคเหน็บชา  วิตามินบีช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก วิตามินอี    ช่วยในการลดหรือป้องกันการเกิดโรคหัวใจและต้อกระจก ป้องกันโรคข้ออักเสบ ชลอการแก่ก่อนวัย เสริมสร้างกระดูก  โรคความจำเสื่อม โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ โรคพาร์กินสัน  อีกทั้งยังช่วยสังเคราะห์acetylcholine ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นสำหรับการถ่ายทอดและส่งสัญญาณของเซลล์ประสาทนอกจากนี้ยังช่วยในการดูดซึมวิตามินบี12และช่วยให้เลือดแข็งตัวขณะที่เกิดบาดแผล

ซึ่งการหาผลมะเกี๋ยงต้องไปถึงเชียงใหม่กันเลยทีเดียว เพื่อนๆสามารถดื่มน้ำมะเกี๋ยงแทนได้ซึ่งน้ำมะเกี๋ยงนั้นมีรสชาติอร่อย เปรี้ยวๆหวานๆ มีประโยชน์ดีจริงๆ จากประสบการณ์ของพ่อของดิฉันและตัวดิฉันเอง เมื่อพ่อของดิฉันได้กินน้ำมะเกี๋ยงเป็นเวลาหนึ่งเดือนติดต่อกันทุกวัน บางคนอาจจะมากกว่าหนึ่งเดือนแล้วแต่สุขภาพของบุคคล ทำให้พ่อของดิฉันสุขภาพดีขึ้น มีกระดูกที่แข็งแรงขึ้น มีการขับถ่ายดีขึ้น และเมื่อมีการตรวจเลือดพบว่ามีค่า HDL มากขึ้น และจากตัวดิฉัน ซึ่งทำให้ฉันมีการขับถ่ายที่ดีขึ้น มีสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งมะเกี๋ยงนั้นไม่ได้ทำเป็นน้ำอย่างเดียวยังทำเป็นผลิตภัณฑ์มากมายซึ่งเพื่อนๆสามารถซื้อได้จากแหล่งขายทั่วไปหรือจะติดต่อบริษัทเอาเลยก็ได้

ลักษณะและข้อมูลพรรณไม้

สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้
ชื่อพรรณไม้    มะเกี๋ยง , หว้าส้ม , หว้าน้ำ    

รหัสพรรณไม้   7-50100-001-230

บริเวณที่พบ : อาคารสมาคม, อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ
ลักษณะพิเศษของพืช : ผลรับประทานได้
ลักษณะทั่วไป : ไม้ต้น ลำต้นระดับดันลีพูพอนขนาดใหญ่ ผลสดรูปไข่ขอบขนาน ผลอ่อนสีเขียวอ่อนผลแก่แดงปนม่วง
รสเปรี้ยว มีกลิ่นหอมเฉพาะ
ต้น : มะเกี๋ยงเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นสูง 15-20 เมตร ต้นที่โตเต็มที่อาจมีเส้นรอบวงของลำต้นมากกว่า 1.5 เมตร ลำต้นตรง เปลือกลำต้นสีเทาหรือน้ำตาลปนเทา เปลือกนอกค่อนข้างเรียบ หรือแตกเป็นร่องตื้นตามแนวยาว เปลือกชั้นนอกล่อนหลุด
ออกเป็นแผ่นบาง เปลือกชั้นในสีน้ำตาลอ่อนปนชมพู เมื่อแห้งเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อไม้สีขาวนวลหรือเหลืองอ่อน
มีความแข็งปานกลาง มีเสี้ยนค่อนข้างมาก เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกระบอกถึงค่อนข้างกลม เส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม 8-5 เมตร
แตกกิ่งก้านปานกลาง ผิวกิ่งอ่อนเรียบสีเขียวหรือสีเขียวปนน้ำตาล มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาวมีสันโค้ง กิ่งแก่สีเขียวปนเทา
รูปทรงกระบอกเกือบกลม
ใบ : 
ใบมะเกี๋ยงมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว เกิดบนกิ่งอ่อนออกตรงกันข้ามเป็นคู่ ( opposite ) มีจำนวนใบกิ่งละ 4-6 คู่ ใบที่เกิดใหม่จัดเรียง
ในแนวตั้งฉากกับใบคู่ที่อยู่ต่ำลงมา แผ่นใบรูปขอบขนาน (oblong) ถึงรูปรีขอบขนาน ( oblong-elliptic) หรืออาจเป็นรูปใบหอก
( lanceolate ) ขนาดใบกว้าง 8-12 เซนติเมตร ยาว 20-30 เซนติเมตร ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย หลังใบเกลี้ยงสีเขียวเข้ม
เป็นมันท้องใบเรียบสีเขียวอ่อน ก้านใบสีเขียว เขียวปนน้ำตาล น้ำตาลปนแดง ถึงแดงเข้ม ยาว 1.5-3.0 เซนติเมตร ก้านใบเป็น
รูปทรงกระบอก ด้านบนเรียบ ตรงกลางมีร่องตื้นต่อกับเส้นกลางใบ เส้นกลางใบสีเขียวอ่อน ด้านบนเป็นร่องตื้น ด้านล่างนูนเป็นเส้นโค้ง เส้นแขนงใบ ( vein) แยกสลับออกจากเส้นกลางใบ มีจำนวนข้างละ 7-15 เส้น สีเขียวอ่อน มองเห็นได้ชัดทั้งสองด้านของแผ่นใบ ปลายเส้นแขนงมักจรดกับเส้นถัดขึ้นไปโดยอยู่ห่างจากขอบใบ 3-10 มิลลิเมตร และอาจมีเส้นบางชนิดขนานขอบใบอีกหนึ่งเส้น เส้นใบย่อยเป็นร่างแห มีขนาดเล็ก ภายในผิวใบทั้งสองด้าน
มีต่อมขนาดเล็กสีเหลืองกระจายอยู่ทั่วไป มองเห็นได้ชัดในระยะเป็นใบอ่อน คู่ใบอ่อนพับประกบกันตามแนวยาว มีสีเขียวหรือเขียวปนน้ำตาลถึงสีแดง เมื่อใบเจริญขึ้น ก้านใบจะบิดตัวหันด้านหลังใบขึ้น ใบมะเกี๋ยงมีอายุประมาณ 9-10 เดือน ใบแก่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเขียวปนเหลืองถึงเหลืองปนน้ำตาล และจะหลุดร่วงไป ใบที่แห้งมีสีน้ำตาล
ดอก : 
ช่อดอกมะเกี๋ยงเกิดบนกิ่งที่มีอายุ 2 - 5 ปี ตรงบริเวณมุมใบที่ร่วงไปแล้ว ลักษณะเป็นช่อกระจุกแยกแขนง ( cymose-panicle) รูปคล้ายปิระมิด กว้าง 6 - 12 เซนติเมตร ยาว 8 - 14 เซนติเมตร ก้านช่อดอกเรียบสีเขียวเข้มยาว 2-5 เซนติเมตร แกนกลางของก้านช่อดอก ( rachis ) มีสีเขียว ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีก้านแขนงแยกออกเป็นคู่ และเรียงตั้งฉากสลับกันขึ้นไป ส่วนปลายก้านแขนงมักมีดอกติดยู่จำนวน 3 ดอก ดอกมะเกี๋ยงเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีลักษณะสมมาตร ไม่มีก้านดอกหรือก้านดอกสั้นมาก ดอกตูมรูปร่างคล้ายบัลลูน กว้าง 3.7 - 5.3 มิลลิเมตร ยาว 6.0-8.2 มิลลิเมตร ประกอบด้วยฐานดอกรูปกรวย (hypanthium) สีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลาง 4-6 มิลลิเมตร สูง 4-7 มิลลิเมตร มีวงกลีบเลี้ยง (calyx) สีเหลืองปิดอยู่ด้านบนคล้ายหมวกกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 4.0 - 5.5 มิลลิเมตร ส่วนยอดตรงกลางเป็นติ่งแหลม สีเขียว ยาว 0.2 - 0.5 มิลลิเมตร กลีบดอกบางสีขาวถึงเหลืองอ่อนมีจำนวน 4 กลีบ แบนซ้อนติดกันอยู่ใต้วงกลีบเลี้ยง กลีบดอกสองกลีบที่ด้านบนเป็นรูปห้าเหลี่ยมหรือหกเหลี่ยมด้านไม่เท่า ขอบบางใส ขนาดกว้าง 3.5 - 4.5 มิลลิเมตร กลีบดอกที่อยู่ด้านล่างรูปครึ่งวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 3.0 - 3.5 มิลลิเมตร มีฐานแคบยาวโค้งหุ้มรอบก้านเกสรเพศเมีย ผิวด้านบนของกลีบดอกมีต่อมสีเหลืองขนาดเล็กจำนวน 30 - 50 ต่อม เกสรเพศผู้มีจำนวน 150 - 340 อัน เรียงเป็นวงสองชั้นติดอยู่รอบขอบฐานดอก ขณะเป็นดอกตูมเกสรเพศผู้ม้วนอัดแน่นเข้าหากลางดอกล้อมรอบเกสรเพศเมีย เมื่อดอกเริ่มบาน เกสรเพศผู้จะขยายตัว ดันส่วนของวงกลีบเลี้ยงและกลีบดอกให้เปิดออก ก้านเกสรเพศผู้จะยืดตัวแผ่ออกเป็นรัศมีเช่นเดียวกับดอกชมพู่ ก้านเกสรเพศผู้สีขาว มีต่อมสีเหลืองติดอยู่ประปรายโดยรอบตลอดความยาว ก้านเกสรเพศผู้ที่อยู่รอบนอกยาว 6 -10 มิลลิเมตร ส่วนที่อยู่รอบในยาว 4 - 7 มิลลิเมตร อับเรณูสีน้ำตาล รูปขอบขนานหรือรูปไข่ ยาว 0.2 - 0.3 มิลลิเมตร มีรอยแตกตามแนวยาว ปลายก้านเกสรเพศผู้เชื่อมติดกับอับเรณูทางด้านหลัง ( dorsifixed ) หรือติดกลาง ( versatile ) เรณู ( pollen) สีอ่อนใส รูปสามเหลี่ยมด้านเท่ามุมโค้งมน ขนาด 0.1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมียมี 1 อัน ประกอบด้วยก้านเกสรเพศเมีย รูปทรงกระบอกสีเขียว ยาว 6-8 มิลลิเมตร ปลายเรียวแหลม มีรังไข่อยู่ใต้วงกลีบเลี้ยง ( inferior ovary) รังไข่รูปกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.7-1.0 มิลลิเมตร แบ่งออกเป็น 2 ช่อง ภายในแต่ละช่องมีออวุล (ovule) จำนวน 10-30 อัน ติดอยู่รอบแกนกลางโดยเรียงจากบนลงล่าง แบบพลาเซนตารอบแกนร่วม (axile placenta ) 
ผล : 
ผลมะเกี๋ยงเป็นผลสด มีเนื้อนุ่ม ( berry ) รูปไข่ขอบขนาน ( ovate -oblong ) เส้นผ่าศูนย์กลางผล 10-18 มิลลิเมตร ยาว 15-24 มิลลิเมตร ผลอ่อนสีเหลืองปนเขียว ผลแก่มีเปลือกบางสีแดง แดงปนม่วงถึงม่วงปนดำ เนื้อผลสีขาวหนา 3-5 มิลลิเมตร เนื้อผลชั้นในเป็นเยื่อบางหุ้มรอบเมล็ด ในผลหนึ่งๆ มีเมล็ดเพียง 1 เมล็ด ผลรสเปรี้ยวและมีกลิ่นหอมเฉพาะ
ประโยชน์ : 
ผลในท้องถิ่นนิยมบริโภททั้งสด และดอง ผลสุกสามารถนำมาทำผลิตภัณฑ์ได้หลายชนิด เช่น ไวน์ น้ำผลไม้ 
มีรสชาติดี สีแดงสวย เนื้อไม้สามารถนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ได้ 

มช.เจ๋งวิจัยสารสกัดผล'มะเกี๋ยง'ต้านมะเร็งตับได้สำเร็จ

มช.เจ๋งวิจัยสารสกัดผล'มะเกี๋ยง'ต้านมะเร็งตับได้สำเร็จ


อาจารย์แพทย์ มช.โชว์ผลงานวิจัย นำผล "มะเกี๋ยง" พันธุ์พืชพื้นเมืองในโครงการอนุรักษ์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพฯ มาสกัดเป็นน้ำต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็งตับระยะเริ่มต้นได้สำเร็จในสัตว์ทดลอง เตรียมต่อยอดใช้ในคน...
เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2556 ผศ.ดร.รวิวรรณ วงศ์ภูมิชัย อาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ได้สร้างผลงานวิจัย "ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ปกป้องตับและฤทธิ์ต้านมะเร็งจากเนื้อมะเกี๋ยงในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง” จากสารเคมีที่มีทั้งสารพิษ และสารก่อมะเร็งในสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกาย ทำลายโมเลกุล และสารชีวภาพสำคัญของอวัยวะภายใน ทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคชราก่อนวัยอันควร โรคสมองเสื่อม โรคข้อเสื่อม โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง การหลีกเลี่ยงจากมลพิษในสิ่งแวดล้อมนั้นค่อนข้างยาก แต่การกินผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจะลดอันตรายจากสารพิษเหล่านี้ได้

จากงานวิจัยในต่างประเทศพบว่า ผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ ซึ่งมีสีแดง มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงให้ความสนใจกับมะเกี๋ยง พืชพื้นเมืองของเชียงใหม่ และในปัจจุบันยังเป็นพืชในโครงการอนุรักษ์ พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่สนับสนุนให้มีการปลูกมากขึ้น โดยได้นำเนื้อมะเกี๋ยงมาคั้นน้ำ และทำให้เข้มข้นเพื่อทดสอบ พบว่าสารสกัดน้ำมะเกี๋ยง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สามารถยับยั้งการกลายพันธุ์ที่เกิดจากสารก่อมะเร็งในวิธีทดสอบที่ใช้แบคทีเรีย จนเห็นศักยภาพในการป้องกันโรคต่างๆ จึงทำการวิจัยต่อในสัตว์ทดลอง โดยพบว่าสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งตับระยะเริ่มต้นในหนูที่ได้รับสารก่อมะเร็งเป็นประจำ และการรับประทานสารสกัดน้ำมะเกี๋ยงทุกวัน จะไปยับยั้งอนุมูลอิสระที่เกิดจากสารก่อมะเร็งที่ได้รับและยังไปส่งเสริมให้ร่างกายสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอการเกิดมะเร็งออกไป 

นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาหาสารออกฤทธิ์ที่พบในเนื้อมะเกี๋ยง ซึ่งอยู่ในกลุ่มสารแอนโธซัยยานิน ทำให้มีการพัฒนาวิธีการสกัดมะเกี๋ยงให้มีปริมาณสารแอนตี้ออกซิแดนท์สูงขึ้น โดยใช้สารที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย และจากการพัฒนาดังกล่าวพบว่า การสกัดมะเกี๋ยงด้วยวิธีการสกัดใหม่เป็นประจำทุกวันช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น และยังกระตุ้นการสร้างสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในร่างกายให้สูงขึ้น มีฤทธิ์ปกป้องตับจากอันตรายของสารพิษในหนูทดลองที่ได้รับยาพาราเซตามอลในปริมาณที่สูงมาก
อย่างไรก็ตาม ผลการงานวิจัยนี้เป็นการทดลองเฉพาะในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองเท่านั้น จึงต้องมีการศึกษาในมนุษย์ต่อไป และการที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในกลุ่มแอนโธซัยยานินมาก การรับประทานมะเกี๋ยงสด หรือน้ำมะเกี๋ยงที่ไม่ปรุงแต่งรสหวานมากเกินไปในปริมาณที่พอดี มีแนวโน้มช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดี และมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่จะต่อสู้กับสารพิษ รวมทั้งอาจช่วยในการป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายได้ 

สำหรับมะเกี๋ยงมีลักษณะคล้ายคลึงกับลูกหว้า แต่ผลของลูกหว้าจะใหญ่กว่าและมีสีม่วงคล้ำกว่า และจะออกมากในช่วง พ.ค.และ มิ.ย.มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cleistocalyx nervosum var paniala เป็นผลไม้ที่มีสีม่วงแดง มีรสเปรี้ยวอมหวาน จะออกมากในช่วงเดือน ก.ค.และ ส.ค.รับประทานได้ทั้งในรูปผลสดและแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ ไวน์ และแยม

มะเกี๋ยง

มะเกี๋ยงพืชในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช สนองพระราชดำริโดยสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล
สถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรลำปาง
มะเกี๋ยง เป็นพืชในอันดับ Myrtales จัดอยู่ในวงศ์ Myrtaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cleistocalyx nervosum   var. paniala  ชื่อวิทยาศาสตร์เดิมของมะเกี๋ยงคือ Eugenia paniala Roxb.  ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้กันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2375 จากการศึกษาทบทวนพรรณไม้ในสกุล Eugenia และ Cleistocalyx ใน พ.ศ. 2536 โดย ดร.ประนอม จันทรโนทัย ได้เสนอให้จัดพืช Eugenia paniala   Roxb. มารวมอยู่ในสกุล Cleistocalyx  และ operculatus  เช่นเดียวกับต้นหว้าขาว (หว้าน้ำหรือหว้าส้ม) โดยได้จำแนกออกเป็นสองชนิดพันธุ์ คือ Cleistocalyx operculatus   var.  paniala  (มะเกี๋ยง) ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 ได้มีการศึกษาทบทวนพืชในวงศ์ Myraceae ใหม่อีกครั้งหนึ่งและได้เสนอให้เปลี่ยนชื่อวิทยาศาสตร์ของหว้าขาวและมะเกี๋ยงเป็นCleistocalyx nervosum  โดยจำแนกออกเป็นสองพันธุ์ คือ Cleistocalyx nervosum  var. nervosum  (หว้าขาว) และ Cleistocalyx nervosum   varpaniala  (มะเกี๋ยง)  ความแตกต่างระหว่างพืชสองชนิดพันธุ์นี้อยู่ที่การจัดเรียงหรือจำนวนของดอกในช่อดอกย่อย ขนาดของฐานดอกรูปถ้วย (hypantium) รวมทั้งขนาดและรูปร่างของผล โดยที่มะเกี๋ยงมักมีดอกจำนวน 3 ดอก ติดอยู่รวมกันเป็นกลุ่มช่อดอกย่อย มีฐานดอกรูปถ้วยขนาดใหญ่กว่า 4 มิลลิเมตร ผลรูปไข่ขอบขนาน ( oval-oblong) และมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผลมากว่า 1.5 เซนติเมตร ส่วนหว้าขาวมักมีจำนวนดอกในแต่ละช่อดอกย่อยมากว่า 4 ดอก ฐานดอกรูปถ้วยมีขนาดเล็กกว่า 4 มิลลิเมตร ผลรูปกลม (globose) และเส้นผ่าศูนย์กลางผลน้อยกว่า 1.5 เซนติเมตร