พฤกษศาสตร์
วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558
สวนพฤกษศาสตร์และสวนรุกขชาติ
สวนพฤกษศาสตร์และสวนประเภทอื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้ฝ่ายจัดการสวนพฤกษศาสตร์และสวนรุกขชาติ แบ่งเป็นสวนพฤกษศาสตร์ สวน สวนรุกขชาติ สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดี และสวนรวมพรรณไม้ป่า 60 พรรณษามหาราชินี ต่อมาในปี 2555 สวนรุกขชาติทั้งหมดได้โอนไปอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของส่วนพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งใหม่
สวนพฤกษศาสตร์ (Botanical garden)
สวนพฤกษศาสตร์เป็นแหล่งรวบรวมพรรณพืชที่มีชีวิต ซึ่งเป็นพืชประจำถิ่นหรือนำมาปลูกจากต่างถิ่น เพื่อใช้ในการศึกษาค้นคว้าวิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพืช ภายในสวนพฤกษศาสตร์มีการปลูกพืชอย่างมีระบบเป็นหมวดหมู่ ทั้งด้านอนุกรมวิธานและการใช้ประโยชน์ มีการปลูกเพิ่มจำนวนชนิดพืชอยู่ตลอดเวลา พืชที่รวบรวมไว้นั้นมีทั้งพืชถิ่นเดียว พืชหายากและใกล้สูญพันธุ์ เพื่อการจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติด้านพืชอย่างยั่งยืน สวนพฤกษศาสตร์ยังเปิดกว้างในการศึกษาหาความรู้แก่สาธารณชน เป็นดุจดังพิพิธภัณฑ์ให้แก่ผู้ที่มาเยือน ได้ทุกเพศทุกวันและทุกระดับความรู้ เพื่อจะเรียนรู้และชื่นชมต่อธรรมชาติสวนพฤกษศาสตร์มีความสำคัญในแง่ของการอนุรักษ์พันธุ์พืช เป็นสิ่งจำเป็นที่จะให้คนท้องถิ่นได้รู้จักสังคมพืชและพืชประจำถิ่น เพื่อให้ทราบถึงประโยชน์ของพืชประจำถิ่นที่จะพัฒนาท้องถิ่นได้ในอนาคต สวนพฤกษศาสตร์จึงจัดได้ว่าเป็นประตูสู่วิทยาศาสตร์ การศึกษาและการอนุรักษ์ในอาณาจักรพืช
การจัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พยายามเลือกพื้นที่ป่าสงวนที่มีหย่อมป่าดั่งเดิมประกอบด้วยไม้ใหญ่น้อยเหลืออยู่บ้าง ทั้งนี้เพื่อประหยัดงบประมาณ ในการลงทุนจัดตั้งในระยะแรก ซึ่งค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งนี้จะสูงมาก ถ้าไปเลือกพื้นที่โล่งเตียนปราศจากพรรณพืช ภายในสวนพฤกษศาสตร์มีการจัดปลูกต้นไม้ ไม้พุ่ม ไม้เถา พืชล้มลุก แทรกลงในหย่อมป่าเดิมให้เป็นหมวดหมู่ ตามวงศ์ สกุลต่างๆ หรือจัดปลูกพรรณไม้ตามวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์ ได้แก่ แปลงพืชสมุนไพร แปลงปาล์ม แปลงไทร-มะเดื่อ แปลงไม้สน แปลงไผ่ แปลงหวาย เป็นต้น พร้อมติดป้ายชื่อพฤกษศาสตร์และถิ่นกำเนิดของพืชไว้อย่างเด่นชัด
สวนพฤกษศาสตร์แห่งแรกของกรมป่าไม้ที่จัดตั้งขึ้น คือ สวนพฤกษศาสตร์ภาคกลาง (พุแค) จังหวัดสระบุรี ในพ.ศ. 2484 พื้นที่ประมาณ 1,875 ไร่ ต่อมามีการจัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์ต่างๆ ตามลำดับคือ พ.ศ. 2486 ได้เปลี่ยนพื้นที่ที่สถานีวนกรรมเขาช่อง ให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์ภาคใต้ (เขาช่อง) จังหวัดตรัง พื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ พ.ศ. 2524 ได้จัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์ภาคตะวันออก (เขาหินซ้อน) จังหวัดฉะเชิงเทรา ตามโครงการพระราชดำริ พื้นที่ 427 ไร่ พ.ศ. 2526 จัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์ภาคเหนือ (แม่สา) จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ประมาณ 2,000 ไร่ สวนฯ นี้ได้โอนไปสังกัดองค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อ พ.ศ. 2535 ปัจจุบันเป็นสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ พ.ศ. 2527 ได้จัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ดงฟ้าห่วน) จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่ประมาณ 3,400 ไร่
การจัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พยายามเลือกพื้นที่ป่าสงวนที่มีหย่อมป่าดั่งเดิมประกอบด้วยไม้ใหญ่น้อยเหลืออยู่บ้าง ทั้งนี้เพื่อประหยัดงบประมาณ ในการลงทุนจัดตั้งในระยะแรก ซึ่งค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งนี้จะสูงมาก ถ้าไปเลือกพื้นที่โล่งเตียนปราศจากพรรณพืช ภายในสวนพฤกษศาสตร์มีการจัดปลูกต้นไม้ ไม้พุ่ม ไม้เถา พืชล้มลุก แทรกลงในหย่อมป่าเดิมให้เป็นหมวดหมู่ ตามวงศ์ สกุลต่างๆ หรือจัดปลูกพรรณไม้ตามวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์ ได้แก่ แปลงพืชสมุนไพร แปลงปาล์ม แปลงไทร-มะเดื่อ แปลงไม้สน แปลงไผ่ แปลงหวาย เป็นต้น พร้อมติดป้ายชื่อพฤกษศาสตร์และถิ่นกำเนิดของพืชไว้อย่างเด่นชัด
สวนพฤกษศาสตร์แห่งแรกของกรมป่าไม้ที่จัดตั้งขึ้น คือ สวนพฤกษศาสตร์ภาคกลาง (พุแค) จังหวัดสระบุรี ในพ.ศ. 2484 พื้นที่ประมาณ 1,875 ไร่ ต่อมามีการจัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์ต่างๆ ตามลำดับคือ พ.ศ. 2486 ได้เปลี่ยนพื้นที่ที่สถานีวนกรรมเขาช่อง ให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์ภาคใต้ (เขาช่อง) จังหวัดตรัง พื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ พ.ศ. 2524 ได้จัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์ภาคตะวันออก (เขาหินซ้อน) จังหวัดฉะเชิงเทรา ตามโครงการพระราชดำริ พื้นที่ 427 ไร่ พ.ศ. 2526 จัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์ภาคเหนือ (แม่สา) จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ประมาณ 2,000 ไร่ สวนฯ นี้ได้โอนไปสังกัดองค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อ พ.ศ. 2535 ปัจจุบันเป็นสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ พ.ศ. 2527 ได้จัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ดงฟ้าห่วน) จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่ประมาณ 3,400 ไร่
สวนรุกขชาติ (Arboretum)
สวนรุกขชาติเป็นแหล่งรวบรวมพรรณไม้ท้องถิ่น รวมแม่ไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจ พืชหายากและใกล้สูญพันธุ์ ในท้องถิ่นนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่หย่อมป่าสงวนดั้งเดิ่ม มีต้นไม้เดิมหรือบางทีเป็นพื้นที่สวนป่าเดิมที่ไม่มีการบำรุงต่อไปแล้ว จึงได้เปลี่ยนเป็นสวนรุกชขชาติ มีการปลูกพรรณไม้เสริมพร้อมับติดป้ายชื่อพรรณไม้ ให้ความรู้ชนิดพรรณไม้แก่ประชาชน เพื่อเป็นแหล่งศึกษาวิจัยพรรณไม้ต่างๆ ที่รวบรวมไว้ เช่น การเจริญเติบโต การขยายพันธุ์การปลูกพรรณไม้ในสวนรุกขชาติส่วนใหญ่จะเป็นไม้ต้นปลูกปะปนกันไป โดยเน้นความสวยงามตามธรรมชาติ ให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ของประชาชน
สวนรุกขชาติเป็นสวนที่มีขนาดเล็กกว่าสวนพฤกษศาสตร์ เน้นใช้พื้นที่น้อยและสิ้นเปลืองงบประมาณในการบริหารจัดการน้อยกว่าสวนพฤกษศาสตร์ ทำให้มีการจัดสร้างสวนรุกขชาติเพิ่มมากขึ้นการดำเนินงานสวนรุกขชาติของ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงเป็นลักษณะของการดูแลบำรุง รักษาป่าธรรมชาติหรือสวนป่าดั้งเดิมเป็นหลัก ปัจจุบันกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้จัดสร้างสวนรุกขชาติตามจังหวัดต่างๆ แล้ว 56 แห่ง
สวนรุกขชาติเป็นสวนที่มีขนาดเล็กกว่าสวนพฤกษศาสตร์ เน้นใช้พื้นที่น้อยและสิ้นเปลืองงบประมาณในการบริหารจัดการน้อยกว่าสวนพฤกษศาสตร์ ทำให้มีการจัดสร้างสวนรุกขชาติเพิ่มมากขึ้นการดำเนินงานสวนรุกขชาติของ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงเป็นลักษณะของการดูแลบำรุง รักษาป่าธรรมชาติหรือสวนป่าดั้งเดิมเป็นหลัก ปัจจุบันกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้จัดสร้างสวนรุกขชาติตามจังหวัดต่างๆ แล้ว 56 แห่ง
สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดี (Literary botanical garden)
สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีเป็นศูนย์รวมพรรณไม้ชนิดต่างๆ ในวรรณคดี ซึ่งนับวันจะหาได้ยาก ตลอดจนเป็นศูนย์รวบรวมสมุนไพรประจำภาค ทั้งสมุนไพรที่ปรากฏอยู่ในวรรณคดี และสมุนไพรพื้นบ้านทั่วๆ ไป และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนทั่วไปสวนพฤกษศาสตร์วรรณคดี มีแนวทางในการปฏิบัติงาน คือ การใช้จินตนาการจากวรรณคดี่นำพรรณไม้ในวรรณคดีมาจัดปลูกเป็นหมวดหมู่ รวบรวมจากพรรณไม้ที่กล่าวไว้ในวรรณคดีต่างๆ คือ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เช่น ลิลิตตะเลงพ่าย ลิลิตพระลอ นิราศต่างๆ มีทั้ง ไม้ต้น ไม้พุ่ม และไม้ล้มลุก ซึ่งจัดไว้เป็นหมวดหมู่ และติดป้ายว่าบริเวณนั้นเป็นวรรณคดีเรื่องใด ตอนใด บางครั้งจะสร้างเป็นจินตนาการจากภาพของตัวละครเป็นรูปปั้นมาประกอบด้วย
สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีนี้ เป็นพื้นที่กรมป่าไม้ได้รับโอนมาดำเนินการจากสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2536 สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีนี้ เดิมที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดสร้างขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษามหามงคล 5 รอบ (วันที่ 5 ธันวาคม 2530) และพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก (วันที่ 2 กรกฎาคม 2531) ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดี มีอยู่ตามภาคต่างๆ 4 แห่ง คือ สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีภาคเหนือ ตั้งอยู่ที่ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่ 1,000 ไร่ สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีภาคกลาง ตั้งอยู่ที่เขาประทับช้าง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี มีพื้นที่ 1,268 ไร่ สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งอยู่ที่อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด มีพื้นที่ 1,000 ไร่ และสวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีภาคใต้ ตั้งอยู่ที่ตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีพื้นที่ 364 ไร่
สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีนี้ เป็นพื้นที่กรมป่าไม้ได้รับโอนมาดำเนินการจากสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2536 สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีนี้ เดิมที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดสร้างขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษามหามงคล 5 รอบ (วันที่ 5 ธันวาคม 2530) และพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก (วันที่ 2 กรกฎาคม 2531) ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดี มีอยู่ตามภาคต่างๆ 4 แห่ง คือ สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีภาคเหนือ ตั้งอยู่ที่ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่ 1,000 ไร่ สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีภาคกลาง ตั้งอยู่ที่เขาประทับช้าง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี มีพื้นที่ 1,268 ไร่ สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งอยู่ที่อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด มีพื้นที่ 1,000 ไร่ และสวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีภาคใต้ ตั้งอยู่ที่ตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีพื้นที่ 364 ไร่
สวนรวมพรรณไม้ป่า 60 พรรณษามหาราชินี (Her Majesty The Queen's 60th Birthday Gardens gardens)
สวนรวมพรรณไม้ป่าเป็นแหล่งรวบรวมพรรณไม้ป่าที่มีอยู่ในแต่ละภาค โดยรวบรวมชนิดให้ได้มากที่สุด เพื่อการศึกษาพรรณไม้ป่าในธรรมชาติ ตลอดจนเป็นแหล่งผลิตเมล็ดไม้ป่าหรือกล้าไม้ป่าของแต่ละภาค นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งพัดผ่อนหย่อนใจของประชาชนทั่วไป
สวนรวมพรรณไม้ป่านี้จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในมหามงคลสมัยที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษาใน พ.ศ. 2535 ปัจจุบันมีสวนรวมพรรณไม้ป่า อยู่ตามภาคต่างๆ 4 แห่ง คือ ภาคเหนือ ตั้งอยู่ที่ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่ 160 ไร่ ภาคกลาง ตั้งอยู่อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี มีพื้นที่ 60 ไร่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งอยู่ที่บ้านฝอยลม (เก่า) ตำบลทับกุง อำเภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี มีพื้นที่ 60 ไร่ และภาคใต้ ตั้งอยู่ที่อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส มีพื้นที่ 100 ไร่
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ BGO Plant Database, The Botanical Garden Organization
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ เป็นแหล่งรวมรวมข้อมูลทางด้านพืช หรือพรรณไม้ที่มีจัดแสดงอยู่ในสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พรรณไม้ต่างๆที่ถูกเก็บรักษาตัวอย่างไว้เป็นตัวอย่างพรรณไม้แห้ง พรรณไม้ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับหนังสือที่ทางองค์การสวนพฤกษศาสตร์เป็นผู้ตีพิมพ์ และ พรรณไม้จากแหล่งข้อมูลอื่นทั่วไป โดย ณ ปัจจุบันนี้ องค์การได้จัดแบ่งข้อมูลที่มีทั้งหมดเป็นฐานข้อมูลที่แยกกันออกไปตามวิธีการจัดเก็บและ แหล่งที่มา ซึ่งฐานข้อมูลทั้งหมดที่มีประกอบด้วย ฐานข้อมูลพรรณไม้มีชีวิต ฐานข้อมูลตัวอย่างพรรณไม้แห้ง ฐานข้อมูลพฤกษศาสตร์พื้นบ้าน ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ถูกคุกคาม และ ข้อมูลพรรณไม้หนังสือ
http://www.qsbg.org/Database/Botanic_Book%20full%20option/search_page.asp
http://www.qsbg.org/Database/Botanic_Book%20full%20option/search_page.asp
ประวัติศาสตร์ของพฤกษศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของพฤกษศาสตร์
พฤกษศาสตร์ยุคแรก
อินเดียโบราณ มีการค้นพบการจำแนกพืชขึ้นเป็นครั้งแรกในคัมภีร์ฤคเวทซึ่งแบ่งพืชออกเป็น ไม้ต้น ไม้ล้มลุกที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ และไม้เลื้อย ซึ่งในภายหลังได้ถูกแบ่งย่อยออกไปอีกเป็น 8 กลุ่มในคัมภีร์เวทอาธารวา คือ ไม้ที่กิ่งแผ่กว้าง ไม้ที่ใบเป็นกระจุกและยาว ไม้พุ่ม ไม้ที่แผ่ราบ ไม้ใบเลี้ยงเดี่ยว ไม้เลื้อย ไม้ที่มีกิ่งก้านมาก ไม้ที่มีปุ่มปมซับซ้อน ผลงานทางด้านสรีรวิทยาของพืชที่สำคัญในสมัยอินเดียตอนกลางประกอบด้วย the Prthviniraparyam of Udayana, Nyayavindutika of Dharmottara, Saddarsana-samuccaya of Gunaratna และ Upaskara of Sankaramisra
จีนโบราณ บันทึกรายชื่อพืชและพืชที่นำมาปรุงยามีมาหลังสงครามระหว่างแคว้น (481-221 ก่อนคริสต์ศักราช) แพทย์จีนจำนวนมากตลอดศตวรรษได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับความรู้ทางด้านการปรุงยาสมุนไพร ในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีงานเขียนของคัมภีร์หวงตี้เน่ยจิง และแพทย์จีน จาง จงจิ่งที่มีชื่อเสียงมากในคริสต์ศตวรรษที่ 2 ในคริสต์ศตวรรษที่ 11 นักวิทยาศาสตร์และรัฐบุรุษ ซูซ่ง และ เฉิน โค่ว ได้รวบรวมวิธีการรักษาโรคด้วยพืชสมุนไพรรวมกับการใช้แร่ธาตุอีกด้วย
กรีกโรมัน ผลงานทางด้านพฤกษศาสตร์ในแถบยุโรปมีมาราว 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ทีโอฟราตัสมีงานเขียนสองเล่มที่สำคัญคือ On the History of Plants และ On the Causes of Plants หนังสือสองเล่มนี้ส่งผลให้เกิดการศึกษาทางด้านพฤกษศาสตร์มากขึ้น นายแพทย์ชาวโรมันเขียนหนังสือรวบรวมการรักษาด้วยสมุนไพรซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงความรู้ทางพฤกษศาสตร์ของกรีกโรมัน
พฤกษศาสตร์สมัยกลาง
อัล ดินาวาริ นักพฤกษศาสตร์ชาวเคอร์ดิช เป็นผู้ก่อตั้งอาหรับพฤกษศาสตร์ ผลงานของเขาคือ หนังสือพืช เขาได้อธิบายถึงลักษณะพืชอย่างน้อย 637 ชนิดและได้อภิปรายเกี่ยวกับพัฒนาการของพืชตั้งแต่การงอกจนกระทั่งตาย อธิบายช่วงระยะเวลาการเจริญเติบโตของพืช การออกดอกและผลของต้นไม้แต่ละชนิด หนังสือ ฮีสทอเรีย แพลนทารัม ของทีโอฟราตัส เป็นข้อมูลที่ใช้อ้างอิงทางพฤกษศาสตร์ในหลายศตวรรษต่อมา และได้ถูกปรับปรุงขึ้นประมาณปี 1200 โดย Giovanni Bodeo da Stapelio ซึ่งได้เพิ่มข้อคิดเห็นและวาดรูปประกอบ
วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557
มะเกี๋ยง....ผลไม้วิเศษ
คืออะไร
มะเกี๋ยง เป็นผลไม้พื้นเมืองขึ้นตามภาคเหนือของประเทศ ที่มีแห่งเดียวในประเทศไทย ผลผลิตเป็นสินค้าแปรรูปได้หลายชนิดมีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน มีกลิ่นหอมและสีตามธรรมชาติ น้ำมะเกี่ยงดื่มได้ทั้งคุณประโยชน์ อุดมด้วยวิตามินซีป้องกันโรคหวัดโรคภูมิแพ้ และมีคุณค่าทางโภชนาการ ประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล วิตามี1 วิตามินบี2 เหล็กแคลเซียมและวิตามินบีสูงฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) จัดเป็นสารประกอบฟินอลิก
คุณค่าโภชนาการของมะเกี๋ยง
ผลมะเกี๋ยงจึงมีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย ประกอบไปด้วยวิตามินเอ,วิตามินบี1,วิตามินบี2,วิตามินอี,วิตามินซี,แคลเซียม,แมกนีเซียม โดยมีปริมาณแคลเซียมมากที่สุด ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ควบคุมการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อทั้งการเต้นของหัวใจ วิตามินเอ จะช่วยในการพัฒนาอวัยวะต่างๆ ของร่างกายรักษาสภาพของเยื่อบุผิวที่อวัยวะต่างๆ วิตามินบี1 ช่วยบำรุงประสาทและป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี2 ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก วิตามินอี ช่วยในการลดหรือป้องกันการเกิดโรคหัวใจและต้อกระจก ป้องกันโรคข้ออักเสบ ชลอการแก่ก่อนวัย เสริมสร้างกระดูก โรคความจำเสื่อม โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ โรคพาร์กินสัน อีกทั้งยังช่วยสังเคราะห์acetylcholine ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นสำหรับการถ่ายทอดและส่งสัญญาณของเซลล์ประสาทนอกจากนี้ยังช่วยในการดูดซึมวิตามินบี12และช่วยให้เลือดแข็งตัวขณะที่เกิดบาดแผล

ซึ่งการหาผลมะเกี๋ยงต้องไปถึงเชียงใหม่กันเลยทีเดียว เพื่อนๆสามารถดื่มน้ำมะเกี๋ยงแทนได้ ซึ่งน้ำมะเกี๋ยงนั้นมีรสชาติอร่อย เปรี้ยวๆหวานๆ มีประโยชน์ดีจริงๆ จากประสบการณ์ของพ่อของดิฉันและตัวดิฉันเอง เมื่อพ่อของดิฉันได้กินน้ำมะเกี๋ยงเป็นเวลาหนึ่งเดือนติดต่อกันทุกวัน บางคนอาจจะมากกว่าหนึ่งเดือนแล้วแต่สุขภาพของบุคคล ทำให้พ่อของดิฉันสุขภาพดีขึ้น มีกระดูกที่แข็งแรงขึ้น มีการขับถ่ายดีขึ้น และเมื่อมีการตรวจเลือดพบว่ามีค่า HDL มากขึ้น และจากตัวดิฉัน ซึ่งทำให้ฉันมีการขับถ่ายที่ดีขึ้น มีสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งมะเกี๋ยงนั้นไม่ได้ทำเป็นน้ำอย่างเดียวยังทำเป็นผลิตภัณฑ์มากมายซึ่งเพื่อนๆสามารถซื้อได้จากแหล่งขายทั่วไปหรือจะติดต่อบริษัทเอาเลยก็ได้
ลักษณะและข้อมูลพรรณไม้
สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้
ชื่อพรรณไม้ มะเกี๋ยง , หว้าส้ม , หว้าน้ำ
รหัสพรรณไม้ 7-50100-001-230

บริเวณที่พบ : อาคารสมาคม, อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ
ลักษณะพิเศษของพืช : ผลรับประทานได้
ลักษณะทั่วไป : ไม้ต้น ลำต้นระดับดันลีพูพอนขนาดใหญ่ ผลสดรูปไข่ขอบขนาน ผลอ่อนสีเขียวอ่อนผลแก่แดงปนม่วง
รสเปรี้ยว มีกลิ่นหอมเฉพาะ
ต้น : มะเกี๋ยงเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นสูง 15-20 เมตร ต้นที่โตเต็มที่อาจมีเส้นรอบวงของลำต้นมากกว่า 1.5 เมตร ลำต้นตรง เปลือกลำต้นสีเทาหรือน้ำตาลปนเทา เปลือกนอกค่อนข้างเรียบ หรือแตกเป็นร่องตื้นตามแนวยาว เปลือกชั้นนอกล่อนหลุด
ออกเป็นแผ่นบาง เปลือกชั้นในสีน้ำตาลอ่อนปนชมพู เมื่อแห้งเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อไม้สีขาวนวลหรือเหลืองอ่อน
มีความแข็งปานกลาง มีเสี้ยนค่อนข้างมาก เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกระบอกถึงค่อนข้างกลม เส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม 8-5 เมตร
แตกกิ่งก้านปานกลาง ผิวกิ่งอ่อนเรียบสีเขียวหรือสีเขียวปนน้ำตาล มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาวมีสันโค้ง กิ่งแก่สีเขียวปนเทา
รูปทรงกระบอกเกือบกลม
ใบ : ใบมะเกี๋ยงมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว เกิดบนกิ่งอ่อนออกตรงกันข้ามเป็นคู่ ( opposite ) มีจำนวนใบกิ่งละ 4-6 คู่ ใบที่เกิดใหม่จัดเรียง
ในแนวตั้งฉากกับใบคู่ที่อยู่ต่ำลงมา แผ่นใบรูปขอบขนาน (oblong) ถึงรูปรีขอบขนาน ( oblong-elliptic) หรืออาจเป็นรูปใบหอก
( lanceolate ) ขนาดใบกว้าง 8-12 เซนติเมตร ยาว 20-30 เซนติเมตร ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย หลังใบเกลี้ยงสีเขียวเข้ม
เป็นมันท้องใบเรียบสีเขียวอ่อน ก้านใบสีเขียว เขียวปนน้ำตาล น้ำตาลปนแดง ถึงแดงเข้ม ยาว 1.5-3.0 เซนติเมตร ก้านใบเป็น
รูปทรงกระบอก ด้านบนเรียบ ตรงกลางมีร่องตื้นต่อกับเส้นกลางใบ เส้นกลางใบสีเขียวอ่อน ด้านบนเป็นร่องตื้น ด้านล่างนูนเป็นเส้นโค้ง เส้นแขนงใบ ( vein) แยกสลับออกจากเส้นกลางใบ มีจำนวนข้างละ 7-15 เส้น สีเขียวอ่อน มองเห็นได้ชัดทั้งสองด้านของแผ่นใบ ปลายเส้นแขนงมักจรดกับเส้นถัดขึ้นไปโดยอยู่ห่างจากขอบใบ 3-10 มิลลิเมตร และอาจมีเส้นบางชนิดขนานขอบใบอีกหนึ่งเส้น เส้นใบย่อยเป็นร่างแห มีขนาดเล็ก ภายในผิวใบทั้งสองด้าน
มีต่อมขนาดเล็กสีเหลืองกระจายอยู่ทั่วไป มองเห็นได้ชัดในระยะเป็นใบอ่อน คู่ใบอ่อนพับประกบกันตามแนวยาว มีสีเขียวหรือเขียวปนน้ำตาลถึงสีแดง เมื่อใบเจริญขึ้น ก้านใบจะบิดตัวหันด้านหลังใบขึ้น ใบมะเกี๋ยงมีอายุประมาณ 9-10 เดือน ใบแก่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเขียวปนเหลืองถึงเหลืองปนน้ำตาล และจะหลุดร่วงไป ใบที่แห้งมีสีน้ำตาล
ดอก : ช่อดอกมะเกี๋ยงเกิดบนกิ่งที่มีอายุ 2 - 5 ปี ตรงบริเวณมุมใบที่ร่วงไปแล้ว ลักษณะเป็นช่อกระจุกแยกแขนง ( cymose-panicle) รูปคล้ายปิระมิด กว้าง 6 - 12 เซนติเมตร ยาว 8 - 14 เซนติเมตร ก้านช่อดอกเรียบสีเขียวเข้มยาว 2-5 เซนติเมตร แกนกลางของก้านช่อดอก ( rachis ) มีสีเขียว ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีก้านแขนงแยกออกเป็นคู่ และเรียงตั้งฉากสลับกันขึ้นไป ส่วนปลายก้านแขนงมักมีดอกติดยู่จำนวน 3 ดอก ดอกมะเกี๋ยงเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีลักษณะสมมาตร ไม่มีก้านดอกหรือก้านดอกสั้นมาก ดอกตูมรูปร่างคล้ายบัลลูน กว้าง 3.7 - 5.3 มิลลิเมตร ยาว 6.0-8.2 มิลลิเมตร ประกอบด้วยฐานดอกรูปกรวย (hypanthium) สีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลาง 4-6 มิลลิเมตร สูง 4-7 มิลลิเมตร มีวงกลีบเลี้ยง (calyx) สีเหลืองปิดอยู่ด้านบนคล้ายหมวกกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 4.0 - 5.5 มิลลิเมตร ส่วนยอดตรงกลางเป็นติ่งแหลม สีเขียว ยาว 0.2 - 0.5 มิลลิเมตร กลีบดอกบางสีขาวถึงเหลืองอ่อนมีจำนวน 4 กลีบ แบนซ้อนติดกันอยู่ใต้วงกลีบเลี้ยง กลีบดอกสองกลีบที่ด้านบนเป็นรูปห้าเหลี่ยมหรือหกเหลี่ยมด้านไม่เท่า ขอบบางใส ขนาดกว้าง 3.5 - 4.5 มิลลิเมตร กลีบดอกที่อยู่ด้านล่างรูปครึ่งวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 3.0 - 3.5 มิลลิเมตร มีฐานแคบยาวโค้งหุ้มรอบก้านเกสรเพศเมีย ผิวด้านบนของกลีบดอกมีต่อมสีเหลืองขนาดเล็กจำนวน 30 - 50 ต่อม เกสรเพศผู้มีจำนวน 150 - 340 อัน เรียงเป็นวงสองชั้นติดอยู่รอบขอบฐานดอก ขณะเป็นดอกตูมเกสรเพศผู้ม้วนอัดแน่นเข้าหากลางดอกล้อมรอบเกสรเพศเมีย เมื่อดอกเริ่มบาน เกสรเพศผู้จะขยายตัว ดันส่วนของวงกลีบเลี้ยงและกลีบดอกให้เปิดออก ก้านเกสรเพศผู้จะยืดตัวแผ่ออกเป็นรัศมีเช่นเดียวกับดอกชมพู่ ก้านเกสรเพศผู้สีขาว มีต่อมสีเหลืองติดอยู่ประปรายโดยรอบตลอดความยาว ก้านเกสรเพศผู้ที่อยู่รอบนอกยาว 6 -10 มิลลิเมตร ส่วนที่อยู่รอบในยาว 4 - 7 มิลลิเมตร อับเรณูสีน้ำตาล รูปขอบขนานหรือรูปไข่ ยาว 0.2 - 0.3 มิลลิเมตร มีรอยแตกตามแนวยาว ปลายก้านเกสรเพศผู้เชื่อมติดกับอับเรณูทางด้านหลัง ( dorsifixed ) หรือติดกลาง ( versatile ) เรณู ( pollen) สีอ่อนใส รูปสามเหลี่ยมด้านเท่ามุมโค้งมน ขนาด 0.1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมียมี 1 อัน ประกอบด้วยก้านเกสรเพศเมีย รูปทรงกระบอกสีเขียว ยาว 6-8 มิลลิเมตร ปลายเรียวแหลม มีรังไข่อยู่ใต้วงกลีบเลี้ยง ( inferior ovary) รังไข่รูปกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.7-1.0 มิลลิเมตร แบ่งออกเป็น 2 ช่อง ภายในแต่ละช่องมีออวุล (ovule) จำนวน 10-30 อัน ติดอยู่รอบแกนกลางโดยเรียงจากบนลงล่าง แบบพลาเซนตารอบแกนร่วม (axile placenta )
ผล : ผลมะเกี๋ยงเป็นผลสด มีเนื้อนุ่ม ( berry ) รูปไข่ขอบขนาน ( ovate -oblong ) เส้นผ่าศูนย์กลางผล 10-18 มิลลิเมตร ยาว 15-24 มิลลิเมตร ผลอ่อนสีเหลืองปนเขียว ผลแก่มีเปลือกบางสีแดง แดงปนม่วงถึงม่วงปนดำ เนื้อผลสีขาวหนา 3-5 มิลลิเมตร เนื้อผลชั้นในเป็นเยื่อบางหุ้มรอบเมล็ด ในผลหนึ่งๆ มีเมล็ดเพียง 1 เมล็ด ผลรสเปรี้ยวและมีกลิ่นหอมเฉพาะ
ประโยชน์ : ผลในท้องถิ่นนิยมบริโภททั้งสด และดอง ผลสุกสามารถนำมาทำผลิตภัณฑ์ได้หลายชนิด เช่น ไวน์ น้ำผลไม้
มีรสชาติดี สีแดงสวย เนื้อไม้สามารถนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ได้
ชื่อพรรณไม้ มะเกี๋ยง , หว้าส้ม , หว้าน้ำ
รหัสพรรณไม้ 7-50100-001-230

บริเวณที่พบ : อาคารสมาคม, อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ
ลักษณะพิเศษของพืช : ผลรับประทานได้
ลักษณะทั่วไป : ไม้ต้น ลำต้นระดับดันลีพูพอนขนาดใหญ่ ผลสดรูปไข่ขอบขนาน ผลอ่อนสีเขียวอ่อนผลแก่แดงปนม่วง
รสเปรี้ยว มีกลิ่นหอมเฉพาะ
ต้น : มะเกี๋ยงเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นสูง 15-20 เมตร ต้นที่โตเต็มที่อาจมีเส้นรอบวงของลำต้นมากกว่า 1.5 เมตร ลำต้นตรง เปลือกลำต้นสีเทาหรือน้ำตาลปนเทา เปลือกนอกค่อนข้างเรียบ หรือแตกเป็นร่องตื้นตามแนวยาว เปลือกชั้นนอกล่อนหลุด
ออกเป็นแผ่นบาง เปลือกชั้นในสีน้ำตาลอ่อนปนชมพู เมื่อแห้งเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อไม้สีขาวนวลหรือเหลืองอ่อน
มีความแข็งปานกลาง มีเสี้ยนค่อนข้างมาก เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกระบอกถึงค่อนข้างกลม เส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม 8-5 เมตร
แตกกิ่งก้านปานกลาง ผิวกิ่งอ่อนเรียบสีเขียวหรือสีเขียวปนน้ำตาล มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาวมีสันโค้ง กิ่งแก่สีเขียวปนเทา
รูปทรงกระบอกเกือบกลม
ใบ : ใบมะเกี๋ยงมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว เกิดบนกิ่งอ่อนออกตรงกันข้ามเป็นคู่ ( opposite ) มีจำนวนใบกิ่งละ 4-6 คู่ ใบที่เกิดใหม่จัดเรียง
ในแนวตั้งฉากกับใบคู่ที่อยู่ต่ำลงมา แผ่นใบรูปขอบขนาน (oblong) ถึงรูปรีขอบขนาน ( oblong-elliptic) หรืออาจเป็นรูปใบหอก
( lanceolate ) ขนาดใบกว้าง 8-12 เซนติเมตร ยาว 20-30 เซนติเมตร ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย หลังใบเกลี้ยงสีเขียวเข้ม
เป็นมันท้องใบเรียบสีเขียวอ่อน ก้านใบสีเขียว เขียวปนน้ำตาล น้ำตาลปนแดง ถึงแดงเข้ม ยาว 1.5-3.0 เซนติเมตร ก้านใบเป็น
รูปทรงกระบอก ด้านบนเรียบ ตรงกลางมีร่องตื้นต่อกับเส้นกลางใบ เส้นกลางใบสีเขียวอ่อน ด้านบนเป็นร่องตื้น ด้านล่างนูนเป็นเส้นโค้ง เส้นแขนงใบ ( vein) แยกสลับออกจากเส้นกลางใบ มีจำนวนข้างละ 7-15 เส้น สีเขียวอ่อน มองเห็นได้ชัดทั้งสองด้านของแผ่นใบ ปลายเส้นแขนงมักจรดกับเส้นถัดขึ้นไปโดยอยู่ห่างจากขอบใบ 3-10 มิลลิเมตร และอาจมีเส้นบางชนิดขนานขอบใบอีกหนึ่งเส้น เส้นใบย่อยเป็นร่างแห มีขนาดเล็ก ภายในผิวใบทั้งสองด้าน
มีต่อมขนาดเล็กสีเหลืองกระจายอยู่ทั่วไป มองเห็นได้ชัดในระยะเป็นใบอ่อน คู่ใบอ่อนพับประกบกันตามแนวยาว มีสีเขียวหรือเขียวปนน้ำตาลถึงสีแดง เมื่อใบเจริญขึ้น ก้านใบจะบิดตัวหันด้านหลังใบขึ้น ใบมะเกี๋ยงมีอายุประมาณ 9-10 เดือน ใบแก่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเขียวปนเหลืองถึงเหลืองปนน้ำตาล และจะหลุดร่วงไป ใบที่แห้งมีสีน้ำตาล
ดอก : ช่อดอกมะเกี๋ยงเกิดบนกิ่งที่มีอายุ 2 - 5 ปี ตรงบริเวณมุมใบที่ร่วงไปแล้ว ลักษณะเป็นช่อกระจุกแยกแขนง ( cymose-panicle) รูปคล้ายปิระมิด กว้าง 6 - 12 เซนติเมตร ยาว 8 - 14 เซนติเมตร ก้านช่อดอกเรียบสีเขียวเข้มยาว 2-5 เซนติเมตร แกนกลางของก้านช่อดอก ( rachis ) มีสีเขียว ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีก้านแขนงแยกออกเป็นคู่ และเรียงตั้งฉากสลับกันขึ้นไป ส่วนปลายก้านแขนงมักมีดอกติดยู่จำนวน 3 ดอก ดอกมะเกี๋ยงเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีลักษณะสมมาตร ไม่มีก้านดอกหรือก้านดอกสั้นมาก ดอกตูมรูปร่างคล้ายบัลลูน กว้าง 3.7 - 5.3 มิลลิเมตร ยาว 6.0-8.2 มิลลิเมตร ประกอบด้วยฐานดอกรูปกรวย (hypanthium) สีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลาง 4-6 มิลลิเมตร สูง 4-7 มิลลิเมตร มีวงกลีบเลี้ยง (calyx) สีเหลืองปิดอยู่ด้านบนคล้ายหมวกกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 4.0 - 5.5 มิลลิเมตร ส่วนยอดตรงกลางเป็นติ่งแหลม สีเขียว ยาว 0.2 - 0.5 มิลลิเมตร กลีบดอกบางสีขาวถึงเหลืองอ่อนมีจำนวน 4 กลีบ แบนซ้อนติดกันอยู่ใต้วงกลีบเลี้ยง กลีบดอกสองกลีบที่ด้านบนเป็นรูปห้าเหลี่ยมหรือหกเหลี่ยมด้านไม่เท่า ขอบบางใส ขนาดกว้าง 3.5 - 4.5 มิลลิเมตร กลีบดอกที่อยู่ด้านล่างรูปครึ่งวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 3.0 - 3.5 มิลลิเมตร มีฐานแคบยาวโค้งหุ้มรอบก้านเกสรเพศเมีย ผิวด้านบนของกลีบดอกมีต่อมสีเหลืองขนาดเล็กจำนวน 30 - 50 ต่อม เกสรเพศผู้มีจำนวน 150 - 340 อัน เรียงเป็นวงสองชั้นติดอยู่รอบขอบฐานดอก ขณะเป็นดอกตูมเกสรเพศผู้ม้วนอัดแน่นเข้าหากลางดอกล้อมรอบเกสรเพศเมีย เมื่อดอกเริ่มบาน เกสรเพศผู้จะขยายตัว ดันส่วนของวงกลีบเลี้ยงและกลีบดอกให้เปิดออก ก้านเกสรเพศผู้จะยืดตัวแผ่ออกเป็นรัศมีเช่นเดียวกับดอกชมพู่ ก้านเกสรเพศผู้สีขาว มีต่อมสีเหลืองติดอยู่ประปรายโดยรอบตลอดความยาว ก้านเกสรเพศผู้ที่อยู่รอบนอกยาว 6 -10 มิลลิเมตร ส่วนที่อยู่รอบในยาว 4 - 7 มิลลิเมตร อับเรณูสีน้ำตาล รูปขอบขนานหรือรูปไข่ ยาว 0.2 - 0.3 มิลลิเมตร มีรอยแตกตามแนวยาว ปลายก้านเกสรเพศผู้เชื่อมติดกับอับเรณูทางด้านหลัง ( dorsifixed ) หรือติดกลาง ( versatile ) เรณู ( pollen) สีอ่อนใส รูปสามเหลี่ยมด้านเท่ามุมโค้งมน ขนาด 0.1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมียมี 1 อัน ประกอบด้วยก้านเกสรเพศเมีย รูปทรงกระบอกสีเขียว ยาว 6-8 มิลลิเมตร ปลายเรียวแหลม มีรังไข่อยู่ใต้วงกลีบเลี้ยง ( inferior ovary) รังไข่รูปกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.7-1.0 มิลลิเมตร แบ่งออกเป็น 2 ช่อง ภายในแต่ละช่องมีออวุล (ovule) จำนวน 10-30 อัน ติดอยู่รอบแกนกลางโดยเรียงจากบนลงล่าง แบบพลาเซนตารอบแกนร่วม (axile placenta )
ผล : ผลมะเกี๋ยงเป็นผลสด มีเนื้อนุ่ม ( berry ) รูปไข่ขอบขนาน ( ovate -oblong ) เส้นผ่าศูนย์กลางผล 10-18 มิลลิเมตร ยาว 15-24 มิลลิเมตร ผลอ่อนสีเหลืองปนเขียว ผลแก่มีเปลือกบางสีแดง แดงปนม่วงถึงม่วงปนดำ เนื้อผลสีขาวหนา 3-5 มิลลิเมตร เนื้อผลชั้นในเป็นเยื่อบางหุ้มรอบเมล็ด ในผลหนึ่งๆ มีเมล็ดเพียง 1 เมล็ด ผลรสเปรี้ยวและมีกลิ่นหอมเฉพาะ
ประโยชน์ : ผลในท้องถิ่นนิยมบริโภททั้งสด และดอง ผลสุกสามารถนำมาทำผลิตภัณฑ์ได้หลายชนิด เช่น ไวน์ น้ำผลไม้
มีรสชาติดี สีแดงสวย เนื้อไม้สามารถนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ได้
มช.เจ๋งวิจัยสารสกัดผล'มะเกี๋ยง'ต้านมะเร็งตับได้สำเร็จ
มช.เจ๋งวิจัยสารสกัดผล'มะเกี๋ยง'ต้านมะเร็งตับได้สำเร็จ
อาจารย์แพทย์ มช.โชว์ผลงานวิจัย นำผล "มะเกี๋ยง" พันธุ์พืชพื้นเมืองในโครงการอนุรักษ์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพฯ มาสกัดเป็นน้ำต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็งตับระยะเริ่มต้นได้สำเร็จในสัตว์ทดลอง เตรียมต่อยอดใช้ในคน...
เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2556 ผศ.ดร.รวิวรรณ วงศ์ภูมิชัย อาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ได้สร้างผลงานวิจัย "ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ปกป้องตับและฤทธิ์ต้านมะเร็งจากเนื้อมะเกี๋ยงในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง” จากสารเคมีที่มีทั้งสารพิษ และสารก่อมะเร็งในสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกาย ทำลายโมเลกุล และสารชีวภาพสำคัญของอวัยวะภายใน ทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคชราก่อนวัยอันควร โรคสมองเสื่อม โรคข้อเสื่อม โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง การหลีกเลี่ยงจากมลพิษในสิ่งแวดล้อมนั้นค่อนข้างยาก แต่การกินผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจะลดอันตรายจากสารพิษเหล่านี้ได้

จากงานวิจัยในต่างประเทศพบว่า ผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ ซึ่งมีสีแดง มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงให้ความสนใจกับมะเกี๋ยง พืชพื้นเมืองของเชียงใหม่ และในปัจจุบันยังเป็นพืชในโครงการอนุรักษ์ พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่สนับสนุนให้มีการปลูกมากขึ้น โดยได้นำเนื้อมะเกี๋ยงมาคั้นน้ำ และทำให้เข้มข้นเพื่อทดสอบ พบว่าสารสกัดน้ำมะเกี๋ยง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สามารถยับยั้งการกลายพันธุ์ที่เกิดจากสารก่อมะเร็งในวิธีทดสอบที่ใช้แบคทีเรีย จนเห็นศักยภาพในการป้องกันโรคต่างๆ จึงทำการวิจัยต่อในสัตว์ทดลอง โดยพบว่าสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งตับระยะเริ่มต้นในหนูที่ได้รับสารก่อมะเร็งเป็นประจำ และการรับประทานสารสกัดน้ำมะเกี๋ยงทุกวัน จะไปยับยั้งอนุมูลอิสระที่เกิดจากสารก่อมะเร็งที่ได้รับและยังไปส่งเสริมให้ร่างกายสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอการเกิดมะเร็งออกไป
นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาหาสารออกฤทธิ์ที่พบในเนื้อมะเกี๋ยง ซึ่งอยู่ในกลุ่มสารแอนโธซัยยานิน ทำให้มีการพัฒนาวิธีการสกัดมะเกี๋ยงให้มีปริมาณสารแอนตี้ออกซิแดนท์สูงขึ้น โดยใช้สารที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย และจากการพัฒนาดังกล่าวพบว่า การสกัดมะเกี๋ยงด้วยวิธีการสกัดใหม่เป็นประจำทุกวันช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น และยังกระตุ้นการสร้างสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในร่างกายให้สูงขึ้น มีฤทธิ์ปกป้องตับจากอันตรายของสารพิษในหนูทดลองที่ได้รับยาพาราเซตามอลในปริมาณที่สูงมาก
อย่างไรก็ตาม ผลการงานวิจัยนี้เป็นการทดลองเฉพาะในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองเท่านั้น จึงต้องมีการศึกษาในมนุษย์ต่อไป และการที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในกลุ่มแอนโธซัยยานินมาก การรับประทานมะเกี๋ยงสด หรือน้ำมะเกี๋ยงที่ไม่ปรุงแต่งรสหวานมากเกินไปในปริมาณที่พอดี มีแนวโน้มช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดี และมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่จะต่อสู้กับสารพิษ รวมทั้งอาจช่วยในการป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายได้
สำหรับมะเกี๋ยงมีลักษณะคล้ายคลึงกับลูกหว้า แต่ผลของลูกหว้าจะใหญ่กว่าและมีสีม่วงคล้ำกว่า และจะออกมากในช่วง พ.ค.และ มิ.ย.มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cleistocalyx nervosum var paniala เป็นผลไม้ที่มีสีม่วงแดง มีรสเปรี้ยวอมหวาน จะออกมากในช่วงเดือน ก.ค.และ ส.ค.รับประทานได้ทั้งในรูปผลสดและแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ ไวน์ และแยม
สำหรับมะเกี๋ยงมีลักษณะคล้ายคลึงกับลูกหว้า แต่ผลของลูกหว้าจะใหญ่กว่าและมีสีม่วงคล้ำกว่า และจะออกมากในช่วง พ.ค.และ มิ.ย.มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cleistocalyx nervosum var paniala เป็นผลไม้ที่มีสีม่วงแดง มีรสเปรี้ยวอมหวาน จะออกมากในช่วงเดือน ก.ค.และ ส.ค.รับประทานได้ทั้งในรูปผลสดและแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ ไวน์ และแยม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)